วันเสาร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

นรกในทรรศนะของพระพุทธเจ้า








ในทรรศนะของพระพุทธเจ้า  นรกมีจริงหรือไม่ พระพุทธเจ้าทรงมีท่าทีต่อนรกอย่างไร  ตามที่พระพุทธองค์ตรัสสอนเรื่องกรรม   การให้ผลของการชั่ว  





1. นรก

ในทรรศนะของพระพุทธเจ้า  นรกมีจริงหรือไม่ พระพุทธเจ้าทรงมีท่าทีต่อนรกอย่างไร  ตามที่พระพุทธองค์ตรัสสอนเรื่องกรรม   การให้ผลของการชั่ว  และมักตรัสสรุปไว้ตอนท้ายว่า
 “คนทำกรรมชั่ว  หลังจากที่ตายไป  จะเข้าถึงอบายทุคคติ  วนิบาต  นรก เป็นหลักฐานยืนยันได้ว่า  พระพุทธเจ้าทรงยอมรับนรกเช่นกัน  อีกทฤษฏีหนึ่งที่จะชี้ให้เห็นว่า  พระพุทธเจ้าทรงมีทรรศนะเช่นใดต่อนรก  คือ  ทฤษฎีว่าด้วยเรื่องโลกหน้า  โลกหน้า คือโลกที่มนุษย์จะต้องไปเกิดหลังจากตายลงในชีวิตนี้นั่นเอง   และพระพุทธองค์ทรงแนะนำให้บุคคลมีความเชื่อว่าโลกหน้ามีจริง  ถึงกับตรัสติเตียนว่า  “คนที่ไม่มีความเชื่อเรื่องโลกหน้า (ปรโลกศรัทธา)  เป็นพวกมิจฉาทิฏฐิ”

“...เมื่อปรโลกมี  เขาเห็นว่าปรโลกไม่มี  ความเห็นของเขาก็เป็นมิจฉาทิฏฐิ   .....พวกที่มีวาทะมีทิฏฐิว่า  ทานที่ให้แล้ว   ไม่มีผล  การบำเพ็ญทานไม่มีผล  .....สำหรับพวกนี้  เป็นอันหวังสิ่งต่อไปนี้ได้คือ  พวกเขาจะทิ้งกายสุจริต  วจีสุจริต  มโนสุจริตอันเป็นกุศลธรรมทั้ง  3  อย่าง  เสีย”

(อปัณณกสูตร , ม.ม.๑๓/๑๐๓-๑๒๔)

วิสัยของมนุษย์ปุถุชนมีคุณภาพต่ำเกินไปที่จะพิสูจน์เรื่องนรกให้ประจักษ์ชัดแก่ประสาทสัมผัสได้  การพูดถกเถียงกันจึงเป็นการอิงอาศัยข้อความในคัมภีร์ชั้นต่าง ๆ  โดยใช้ภูมิปัญญาอย่างปุถุชนเข้าไปตัดสินตีความแล้วแสดงออกมาทางคำพูด  หลักการทางพระพุทธศาสนาดูจะไม่สนใจข้อสงสัยที่ถกเถียงกันอยู่แต่แสดงจุดยืนในเรื่องนรกไปอีกแนวหนึ่ง  โดยแสดงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับนรกโดยหลักเหตุผลและแสดงปฏิปทาที่จะให้ถึงนรก  ปฏิปทาที่จะให้พ้นไปจากนรก  มีพุทธฎีกาเป็นหลักฐานยืนยันในเรื่องนี้อย่างเด่นชัด  นรกในฐานะที่เป็นภพหรือภูมิที่บุคลผู้ทำความชั่วจะต้องไปเกิดหลังการตายลงในมนุษย์โลกนี้ปรากฏคัมภีร์พระไตรปิฎกมาก  และมักปรากฏใน  5  ลักษณะคือ...
1.  เป็นข้อความที่พระพุทธเจ้าตรัสถึงกำลังสติปัญญาของพระองค์เอง  และของพระสาวกที่ทรงคุณวุฒิบางรูปในอันที่จะตรวจสอบดูความเป็นไปของโลกในเรื่องใดก็ได้   เมื่อมีบุคคลมากราบทูลถามพระองค์หรือเมื่อพระพุทธองค์ประทับอยู่ในโอกาสอันเหมาะ  พระพุทธองค์ก็จะแสดงออกถึงกำลังสติปัญญาของพระอริยบุคคล

“....ตถาคตย่อมเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ  อุบัติ  เลว  ประณีต  มีผิวพรรณดี  มีผิวพรรณทราม....ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์เป็นไปตามกรรมว่า  สัตว์เหล่านี้ประกอบด้วยกายทุจริต  วจีทุจริต  มโนทุจริตติเตียนพระอริยะ เป็นมิจฉาทิฏฐิ  ยึดถือว่าการกระทำด้วยมิจฉาทิฏฐิ  เบื้องหน้าแต่ตายไป  เขาย่อมเข้าถึงอบาย  ทุคคติ  วินิบาต  นรก....

(มหาสีหนาทสูตร , ม.มู. ๑๒/๑๖๖)

2.  เป็นข้อความที่พระพุทธเจ้าทรงมีพระประสงค์ที่จะปลดเปลื้องหมู่สัตว์ให้พ้นทุกข์ในสังสารวัฏ  จึงตรัสเตือนว่า  กรรมชั่ว  ความเห็นผิด (มิจฉาทิฏฐิ)พฤติกรรมอันไม่ชอบธรรมอื่น ๆ  นอกจากจะก่อทุกข์เผ็ดร้อนในปัจจุบันชาตินี้แล้ว  ตายไปยิ่งจะได้รับผลเผ็ดร้อนมากกว่านี้หลายเท่านักผู้มีปัญหาเห็นประจักษ์  พึงละกรรมชั่ว  ความเห็นผิดแล้วประกอบกรรมดีและความเห็นที่ถูกต้อง

“...กายทุจริต  วจีทุจริต  มโนทุจริต  ที่เรากล่าวว่า  ไม่ควรทำโดยส่วนเดียวนี้  เมื่อผู้ใดกระทำ  ก็พึงหวังโทษต่อไปนี้ได้  คือ ตนเองก็กล่าวโทษได้  วิญญูชนทั้งหลายใคร่ครวญแล้วย่อมติเตียน  กิตติศัพท์อันชั่วร้ายขจรไป  ย่อมหลงตาย  เมื่อแตกกายทำลายขันธ์ภายหลังมรณะย่อมเข้าถึงอบาย   ทุคคติ   วินิบาต  นรก.....”

(จูฬกัมมวิภังคสูตร , ม.อุ.๑๔/๕๘๒,๕๘๔,๕๘๖,๕๘๘,๕๙๐,๕๙๒)

ข้อความในคัมภีร์พระไตรปิฎกบางตอนที่ว่าด้วยเรื่องนรก  มีจุดประสงค์ที่จะชี้ให้เห็นถึงจุดสุดท้ายของบุคคลผู้กระทำกรรมชั่วโดยเฉพาะ  จึงตั้งชื่อว่าวรรคว่า  “นิรยวรรค”   และมีพุทธภาษิตเป็นหลักการประกอบอยู่ด้วย

“ผู้มักพูดคำไม่จริง  ย่อมเข้าถึงนรก  หรือแม้ผู้ใดทำแล้ว   กล่าวว่า  ข้าพเจ้ามิได้ทำ  ชนแม้ทั้ง  2 นั้น  เป็นมนุษย์มีกรรมเลวทราม  ละไปในโลกอื่นแล้ว  ย่อมเป็นผู้เสมอกัน”

(นิรยวรรควรรณนา , ขุ.ธ.๒๕/๓๒)



ข้อความที่ว่าเรื่องนรกซึ่งปรากฏในลักษณะอย่างนี้  ไม่มีจุดประสงค์ที่จะให้ถามตามมาอีกว่า  “นรกมีจริงหรือไม่  นรกตั้งอยู่ที่ไหน”  แต่เป็นการแสดงข้อเท็จจริงว่า  “บุคคลหว่านพืชเช่นใด  ย่อมได้รับผลเช่นนั้น  ทำกรรมดี  ย่อมได้รับผลดี  ทำกรรมชั่ว ย่อมได้รับผลชั่ว”

(สมุททกสูตร , สํ.สฬ.๑๘)

3. เป็นข้อความที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนอานิสงส์ของความเลื่อมใสในพระรัตนตรัยอย่างไม่หวั่นไหว  ความเป็นผู้มีปัญญา  มีความเพียรว่า  เป็นผลทำให้พ้นไปจากนรกนั้นได้  การตรัสเช่นนี้  เป็นการชี้ให้เห็นถึงผลที่ผู้บำเพ็ญธรรมจนบรรลุคุณวิเศษถึงขั้นโสดาบันขึ้นไป  ย่อมข้ามพ้นอบาย  ทุคคติวินิบาตนรกได้อย่างสิ้นเชิง  ไม่ได้มีจุดประสงค์ที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่า  “นรกมีจริงหรือไม่  นรกตั้งอยู่ที่ไหน?”

“...บุคคลบางคนในโลกนี้  เลื่อมใสยิ่งแน่วแน่ในพระพุทธเจ้า  พระธรรม  พระสงฆ์  มีปัญญา  ร่าเริงเฉียบแหลม...บุคคลแม้นี้ก็พ้นจากนรก  กำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน  เปรตวิสัย  อบาย  ทุคคติ  วินิบาต...”

(ปฐมสรกานิสูตร , สํ.ม.๑๙/๑๕๓๐-๑๕๓๕)

4.  เป็นข้อความที่พระพุทธเจ้าตรัสถึงโทษที่บุคคลผู้กระทำกรรมชั่วในโลกมนุษย์จะได้รับหลังจากตายไปแล้วเช่นกัน  แต่ทรงแสดงให้รายละเอียดของนรกมากกว่าที่เคยแสดงไว้ในที่อื่น  น่าจะเป็นเพราะทรงมีพระประสงฆ์ที่จะให้บุคคลซาบซึ้งในเรื่องนรกมากกว่าเป็นอยู่  พระพุทธเจ้าตรัสถึงวิธีการลงโทษสัตว์นรกของพวกนายนิรยบาล(ยมบาล)  ตรัสพรรณาลักษณะนรกและความเป็นอยู่ของสัตว์นรก

“.....เหล่านายนิรบาลจะให้คนพาลนี้ปีนขึ้นลงซึ่งภูเขาถ่านเพลิงลูกใหญ่   ที่มีไฟติดทั่ว  ลุกโพลงโชติช่วง  คนพาลนั้นจะเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้าเจ็บแสบอยู่ในนรกนั้น   และยังไม่ตายตราบเท่าที่บาปกรรมยังไม่สิ้นไป  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  เหล่านายนิรบาลจะจับคนพาลนั้นเอาเท้าขึ้นข้างบน  เอาหัวลงข้างล่าง  แล้วพุ่งไปในหม้อทองแดงที่ร้อน  มีไฟติดทั่ว  ลุกโพลงโชติช่วง คนพาลนั้นจะเดือดเป็นฟองอยู่ในหม้อทองแดงนั้น เขาเมื่อเดือดเป็นฟองอยู่  จะพล่านขึ้นข้างบนครั้งหนึ่งบ้าง  พล่านลงข้างล่างครั้งหนึ่งบ้าง  พล่านไปด้านขวางครั้งหนึ่งบ้าง...”

(พาลบัณฑตสูตร , ม.อุ.๑๔/๔๗๕.)
“...พวกนายนิรบาลจับบุรุษนั้นไปลงนรก  ก็มหานรกนั้น  มีสี่มุม  แบ่งออกเป็นสัดส่วน  มีกำแพงเหล็กล้อมรอบ  ครอบด้วยเหล็ก  พื้นทำด้วยเหล็ก  ร้อนลุกเป็นไฟลามไปตลอด  100  โยชน์  ลุกอยู่ตลอดเวลา  ...”

(เทวทูตสูตร, ม.อุ.๑๔/๕๐๗-๕๒๓.  พาลบัณฑิตตสูตร,ม.อุ.๑๔/๔๗๒-๔๗๕.ฑูตสูตร,องฺ.ติก.๒๐/๔๗๕)

---> ข้อความเหล่านี้  เป็นการยืนยันว่านรกคือสถานที่  เป็นสถานที่สำหรับเสวยผลบาปของสัตว์ผู้ทำกรรมชั่ว   พระพุทธเจ้าตรัสข้อความเหล่านั้นโดยตรง   และมีข้อความบางตอนที่เป็นคำสนทนากันระหว่างสัตว์นรกกับพวกนายนิรบาล

“....นางเรวดีถามนายนิรบาลว่า  คูถ  มูตร  และของไม่สะอาด  เห็นกันได้เฉพาะหรือหนออุจจาระนี้มีกลิ่นเหม็นหรือ  นายนิรบาลกล่าวว่า  นรกนี้ชื่อสังสวกะ   ลึกชั่วร้อยบุรุษ เป็นนรกที่เจ้าจะต้องหมกไหม้อยู่หลายพันปีนะ  เรวดี.  นางเรวดีถามว่า ดิฉันทำกรรมชั่วด้วยกาย  วาจา  ใจหรือหนอ  ดิฉันได้นรกสังสวกะ  ลึกชั่วร้อยบุรุษ....”

(เรวตีวิมาน, ขุ.วิ.๒๖/๕๒)

5. เป็นข้อความที่พระพุทธเจ้าตรัสระบุชื่อของนรก  และบางชื่อ  เหมือนกับเป็นการแสดงพุทธประสงค์ที่จะให้บุคคลหันมาสนใจนรกภายในตัวของแต่ละบุคคลความน่ากลัวของนรกที่เป็นสถานที่คือ “ความทุกข์ที่ได้รับจากการถูกนายนิรบาลลงโทษโดยวิธีการต่าง ๆ”  ความทุกข์ที่มนุษย์ประสบในโลกนี้เพราะสาเหตุต่าง ๆ ก็เป็นสิ่งที่น่ากลัวไม่แพ้กัน  พระพุทธองค์ทรงใช้คำว่า “ฉผัสสายตนิกนรก”  แปลว่า  นรกอันเป็นไปทางอายตนะภายในกับอายตนะภายนอก  เมื่ออายตนะทั้ง  2  นี้สัมผัสกันแล้วเกิดการรับรู้

“ดูก่อนภิกษุ  นรกชื่อว่าผัสสายตนิก  6  เราเห็นแล้ว  ในผัสสายนิกนรกนั้น  สัตว์จะเห็นรูปอะไรด้วยจักษุ  ก็ย่อมเห็นแต่รูปอันไม่น่าปรารถนา  ย่อมไม่เห็นรูปอันน่าปรารถนา  ....จะฟังเสียงอะไรด้วยหู  ก็ย่อมฟังแต่เสียงอันไม่น่าปรารถนา....จะรู้แจ้งธรรมารมณ์อะไรด้วยใจ  ก็ย่อมรู้แจ้งแต่ธรรมารมณ์อันไม่น่าปรารถนา  ย่อมไม่รู้แจ้งธรรมารมณ์อันน่าปรารถนา...”

(ขณสูตร, สํ.สฬ.๑๘/๒๑๔.)
พระพุทธดำรัสนี้    เป็นการนำเสนอนรกที่เกิดขึ้นพร้อมกับการได้เห็น  ได้ฟัง  ได้กลิ่น   ได้ลิ้มรส  ได้สัมผัสทางกายและทางใจซึ่งสิ่งที่ไม่น่าพอใจ  นรกชนิดนี้อาจเกิดขึ้นทั้งในขณะที่มีชีวิตเป็นมนุษย์อยู่และหลังจากตายไปเกิดในภพใหม่แล้ว  เป็นการแสดง  “ภาวะ”  ไม่ใช่แสดงถึง  “สถานที่”  นอกจากนี้  ยังตรัสเปรียบเทียบความเร่าร้อนในนรกชื่อว่า    “ปริฬาหะ”  กับความเร่าร้อนของพวกสมณพราหมณ์ผู้ไม่รู้แจ้งทุกข์    เหตุเกิดทุกข์   ความดับทุกข์  และข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ในโลกมนุษย์นี้

“....นรกชื่อว่าปริฬาหะมีอยู่  ในนรกนั้นบุคคลยังเห็นรูปอย่างใดอย่างหนึ่งด้วยนัยน์ตาได้  (แต่)เห็นรูปที่ไม่น่าปรารถนาอย่างเดียว  ไม่เห็นรูปที่น่าปรารถนา...ดูก่อนภิกษุความเร่าร้อนอื่นที่มากกว่าและน่ากลัวความเร่าร้อนนี้  มีอยู่.....สมณพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง  ย่อมไม่รู้ชัดตามความเป็นจริงน่า  นี้ทุกข์  ......ย่อมยินดี  ย่อมปรุงแต่งครั้นปรุงแต่งแล้ว   ย่อมเร่าร้อน  ....”

(ปริฬาหสูตร , สํ.ม.๑๙/๑๗๓๑-๑๗๓๓.)

ส่วนชื่อของนรกที่พระพุทธเจ้าตรัสระบุนั้น  เป็นนรกบริวารของนรกใหญ่  8  ขุม  พระพุทธองค์ตรัสระบุสภาพของนรกและสภาพของสัตว์นรกที่ถูกลงโทษในนรกใหญ่เป็นเวลายาวนาน  และมีสัตว์นรกบางตนพยายามหนีออกไปจากนรกใหญ่

“.....โดยล่วงไประยะกาลนาน  ประตูด้านหน้าของมหานรกนั้นเปิดออก  สัตว์นั้นจะรีบวิ่งไปยังประตูนั้น  ย่อมถูกไฟไหม้ผิว  ไหม้หนัง  ไหม้เนื้อ  ไหม้เอ็น  แม้กระดูกทั้งหลายก็เป็นควันตลบแต่อวัยวะที่สัตว์นั้นยกขึ้นแล้ว  จะกลับคงรูปเดิมทันที  สัตว์นั้นจะออกทางประตูนั้นได้  แต่ว่ามหานรกนั้นแล  มีนรกเต็มด้วยคูถ  (คูถนรก)  ใหญ่ประกอบอยู่รอบด้าน...”

(เทวทูตสูตร , ม.อุ.๑๔/๕๑๗.)

ต่อจากนั้น  พระพุทธเจ้าได้ตรัสระบุชื่อ  “กุกกุลนรก”  ลิมเพลีนรก,อลิปัตตนรก,  ขาโรทกนทีนรก   พร้อมกับตรัสถึงลักษณะของนรก  วิธีการลงโทษของนายนิรบาล  และความเจ็บปวดที่สัตว์นรกได้รับในนรกนั้น

“...สัตว์เหล่านั้นบอกอย่างนี้ว่า  ข้าพเจ้ากระหายน้ำ เจ้าข้า  เหล่านายนิรยบาลจึงเอาขอเหล็กร้อน  มีไฟติดทั่ว  ลุกโพลงโชติช่วง  เปิดปาก  (ของสัตว์นรก)   ออกแล้ว   เอาน้ำทองแดงร้อนมีไฟติดทั่ว  ลุกโพลงโชติช่วง กรอกเข้าไปในปาก   น้ำทองแดงนั้นจะไหม้ริมฝีปากบ้าง  ปากบ้าง...”

(เทวทูตสูตร, ม.อุ.๑๔/๕๒๓.)

ลักษณะของนรกตามที่ปรากฏในคัมภีร์พระไตรปิฎก  ถ้าเป็นข้อความที่พระพุทธเจ้าตรัสโดยตรงโดยมาก  พระพุทธองค์จะตรัสถึงกรรมชั่วในปัจจุบัน  ผลของกรรมชั่วในปัจจุบัน  และตรัสสรุปตอนท้ายว่า “เมื่อคนทำชั่วตายไป  ย่อมเข้าถึงอบาย  ทุคคติ วินิบาต  นรก”   ตรัสพรรณนาลักษณะของนรกตรัสระบุชื่อของนรกบ้างเมื่ออยู่ในเหตุการณ์ที่เหมาะสม  ข้อความที่พระพุทธองค์ตรัสพรรณนานรกอย่างพิสดารนั้น  เป็นการตรัสต่อหน้าของเหล่าภิกษุผู้มีญาณแก่กล้าแล้วแทบทั้งสิ้น   และพระพุทธองค์จะไม่ทรงตั้งกฎเกณฑ์หรือจำแนกประเภทนรกและลักษณะของนรกไว้มากนัก
เรื่องนรก  ถ้าเป็นข้อความที่พระสาวกหรือนักปราชญ์ฝ่ายพุทธในยุคพุทธกาลกล่าว  แม้จะมีปรากฏในคัมภีร์พระไตรปิฎกเพียงเล็กน้อย  แต่เป็นการตั้งกฎเกณฑ์พรรณนาลักษณะและประเภทของนรกไว้อย่างพิสดาร

“...อาตมภาพจะกล่าวคติคือนรกเหล่านั้น  ขอพระองค์ทรงสดับอาตมภาพเถิด  นรก  8  ขุมเหล่านี้คือ  สัญชีวนรก  กาฬสุตตนรก    สังฆาฏนรก   โรรุวนรก  มหาโรรุวนรก  ตาปนนรก  มหาตาปนนรก  อเวจีนรก   อันบัณฑิตทั้งหลายกล่าวไว้แล้ว  ก้าวล่วงได้ยาก  เกลื่อนกล่นไปด้วยเหล่าสัตว์ผู้มีกรรมหยาบช้า  เฉพาะขุมหนึ่ง ๆ มีอุสสทนรก  16  ขุม  เป็นที่ทำบุคคลผู้กระด้างให้เร่าร้อน....”

“…..พวกหญิงรีดลูก  ย่อมก้าวล่วงลำธารนรกอันขรุขระ   ที่ก้าวล่วงได้แสนยาก  ดุจคมมีดโกนแล้วตกไปสู่แม่น้ำเวตรณีที่ไปได้ยาก  ต้นงิ้วทั้งหลายล้วนแต่เป็น  มีหนาม  16  องคุลี  (นิ้ว) ..”


(สังกิจจชาดก, ขุ.ชา.๑๘/๙๒.)

ข้อความนี้  เป็นข้อความที่สังกิจจฤาษีกล่าวถวายพระพรแด่พระเจ้าพรหมทัต    เป็นทรรศนะของพุทธสาวก  และยังมีข้อความอีกตอนหนึ่งที่ท่านพระโมคคัลลานะกล่าวกะมารผู้ลามกที่มารบกวนท่านว่า



“...มารผู้ลามก  ก็มหานรกนั้นแลมีชื่อ  8  อย่าง  ชื่อผัสสายตนิกะก็มี  ชื่อสังกุสมาหตะก็มี  ชื่อปัจจัตตเวทนียะก็มี  มารผู้ลามก  ครั้งนั้น  พวกนายนิรยบาลเข้ามาหาเราแล้วบอกว่า  เมื่อใดแลหลาวเหล็กกับหลาว  มารวมกันที่กลางหทัย (อก)ของท่าน  เมื่อนั้นท่านพึงรู้ว่า  เราไหม้อยู่ในนรกหนึ่งพันปีแล้ว...”

(มาตัชชนียสูตร, ม,มู.๑๒/๕๖๕.)

นรกคือภูมิอันเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์โลกนั้น  จัดอยู่ในพวกกามาวจร  คือภูมิของสัตว์ผู้ยังเสพกามอยู่  พระพุทธเจ้าเมื่อตรัสถึง  ก็ตรัสไว้ในฐานะที่เป็นผลของกรรมชั่ว   และทุกครั้งที่ตรัสถึงนรก  จะไม่ตรัสในฐานะเป็นคำเทศนา  แต่จะเป็นไปในลักษณะเล่าให้ฟัง  เพื่อแสดงกำลังของพระพุทธญาณหรือเป็นข้อสนทนาส่วนพระองค์กับหมู่ภิกษุ

“....ดูก่อนอานนท์  ในกาลใด  พระโพธิสัตว์ประสูติจากพระอุทรของพระมารดา  ในกาลนั้น  แสงสว่างอย่างโอฬารหาประมาณมิได้  ล่วงเสียซึ่งเทวานุภาพของเหล่าเทวดา  ย่อมปรากฏในโลก.....แม้ในโลกกันตริกนรก  มีแต่ทุกข์  ซึ่งมิใช่ที่เปิดเผย  มีแต่ความคิด  ซึ่งดวงจันทร์ดวงอาทิตย์มีอิทธานุภาพมากอย่างนี้  ส่องแสงไปไม่ถึง  ก็ยังปรากฏแสงสว่างโอฬารหาประมาณมิได้ล่วงเสียซึ่งเทวานุภาพของเหล่าเทวดา  ด้วยแสงสว่างนั้น  แม้หมู่ผู้อุบัติในนรกนั้น ก็รู้ว่า  แม้สัตว์เหล่าอื่นก็มีเกิดขึ้นในที่นี้.....”

(อัจฉริยัพภูตธัมมสูตร, ม.อุ.๑๔/๓๗๘. มหาปทานสูตร, ที.ม.๑๐/๒๗.)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น